ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

8 พฤศจิกายน 2022 - News

มูลนิธิช่วยเหลือเด็ก (ประเทศไทย) ร่วมกับ กรมสุขภาพจิต นำเสนอผลวิจัย ชี้ เด็กเพศหลากหลายเสี่ยงซึมเศร้า-ฆ่าตัวตายสูงเกินกว่าครึ่ง

Guests at Save the Children (Thailand) Foundation's Hearts Matter event

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2565มูลนิธิช่วยเหลือเด็ก (ประเทศไทย)หรือ Save the Children (Thailand) Foundation ร่วมกับกรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดงาน ‘HEARTS MATTER: สุขภาพใจเยาวชนเพศหลากหลายขึ้นสามย่านโค-ออปเพื่อนำเสนอผลวิจัยเรื่องสุขภาพจิตในกลุ่มเยาวชนเพศหลากหลายที่ได้ร่วมจัดทำโดยมูลนิธิช่วยเหลือเด็ก (ประเทศไทย) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒรวมถึงได้มีจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “อุปสรรคและการก้าวไปข้างหน้าเพื่อสุขภาพจิตที่ดีของเด็กและเยาวชนผู้มีความหลากหลายทางเพศ” โดยมีผู้ร่วมเสวนาอย่างหมอโอ๋ - พญ.จิราภรณ์อรุณากูรกุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่นและคลินิกเพศหลากหลายในวัยรุ่นคณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดีอ.สกลโสภิตอาชาศักดิ์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์หนึ่งในทีมวิจัยทิพย์ - พรทิพย์รุ่งเรืองรองประธานเครือข่ายเยาวชนชาติพันธุ์เพื่อการพัฒนาตัวแทนเยาวชนกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ที่กล่าวถึงประเด็นเชิงอัตลักษณ์ทับซ้อนในบริบทชุมชนชาติพันธุ์ไร้สัญชาติ ที่ไม่มีพื้นที่ในการพูดคุยเรื่องของความหลากหลายทางเพศและสุขภาพจิต ละดำนินรายการโดยพญ.วิมลรัตน์วันเพ็ญสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์  

ภายในงานคุณประเสริฐทีปะนาถผู้อำนวยการมูลนิธิช่วยเหลือเด็ก (ประเทศไทยได้กล่าวต้อนรับผู้มาร่วมงานพร้อมทั้งกล่าวถึงพันธกิจของมูลนิธิฯในประเด็นด้านความหลากหลายทางเพศว่าเรามุ่งมั่นที่จะดำเนินงานเพื่อให้เด็กทุกคนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ได้เข้าถึงสิทธิทางการศึกษาและได้รับการปกป้องคุ้มครองจากความรุนแรงทุกรูปแบบเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่สำหรับเด็กทุกคน ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญในการจัดการกับความเหลื่อมล้ำทางเพศที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิเด็ก เพื่อให้เด็กทุกคนไม่ว่าจะมีตัวตนทางเพศรสนิยมทางเพศการแสดงออกหรือเพศสรีระอย่างไรก็ต้องสามารถเข้าถึงสิทธิอย่างเท่าเทียม 

พญ.อัมพรเบญจพลพิทักษ์อธิบดีกรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข ผู้เป็นประธานในงานกล่าวว่าจากผลการประเมิน Mental Health Check In โดยกรมสุขภาพจิตในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปีจำนวน 34,579 คนมีปัญหาสุขภาพจิตที่สำคัญคือมีความเครียดสูงเสี่ยงซึมเศร้าและเสี่ยงฆ่าตัวตายสูงกว่าทุกกลุ่มวัย โดยส่วนหนึ่งเกิดจากวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19  

เด็กและเยาวชนก็ได้รับผลกระทบทางสุขภาพจิตมากขึ้นเช่นเดียวกันโดยเฉพาะสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนผู้มีความหลากหลายทางเพศยิ่งมีความทุกข์ใจมากขึ้น ทั้งจากการขาดแรงสนับสนุนอย่างกลุ่มเพื่อนการที่ไม่สามารถแสดงออกถึงตัวตนที่บ้านได้หรือแม้แต่เจอเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวต่อตนเองเด็กและเยาวชนบางส่วนยังถูกกดดัน หรือถูกทำร้ายจากคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นครอบครัวโรงเรียนหรือคนในชุมชนเพียงเพราะไม่ได้เป็นไปตามค่านิยมที่สังคมคาดหวัง 

งานวิจัยสุขภาพจิตและสุขภาวะของเด็กและเยาวชนผู้มีความหลากหลายทางเพศในประเทศไทยที่นำเสนอในงานได้ศึกษาประเด็นดังกล่าวในกลุ่มเยาวชนหลากหลายทางเพศอายุ 15-24 ปีในประเทศไทยผ่านแบบสอบถามออนไลน์จำนวน 3,094 คนและสัมภาษณ์ออนไลน์ 38 คนผลวิจัยพบว่า70-80% ของผู้เข้าร่วมมีอาการวิตกกังวลและซึมเศร้าโดยเยาวชนกลุ่มนี้ถูกกระทำความรุนแรงในหลายรูปแบบเช่น75.8% เคยถูกล้อเลียน 42.4% เคยถูกบังคับให้พยายามเปลี่ยนตัวตนทางเพศและเกินครึ่งเคยถูกคุกคามทางเพศทั้งออนไลน์และต่อหน้าที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือเกินครึ่งของผู้เข้าร่วมเคยคิดฆ่าตัวตายในปีที่ผ่านมา 

ดร. Timo Tapani Ojanen จากคณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตัวแทนคณะวิจัยได้แสดงข้อกังวลว่าผลงานวิจัยเราแสดงให้เห็นชัดเจนว่าการถูกกระทำความรุนแรงการถูกเลือกปฏิบัติ และการถูกบังคับให้พยายามเป็นเพศตามกรอบของสังคมล้วนมีผลเสียต่อสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนหลากหลายทางเพศ นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามเกินครึ่งรู้สึกว่าในปีที่ผ่านมาเขาพบปัญหาในระดับที่เขาควรไปรับบริการสุขภาพจิต แต่จากกลุ่มนี้มีแค่ 1 ใน 5 ที่ได้ไปรับบริการซึ่งก็สะท้อนปัญหาต่างในการเข้าถึงบริการเหล่านี้คิดว่าในภาพรวมแล้วเราควรพยายามทั้งลดต้นเหตุของปัญหาสุขภาพจิตที่ได้กล่าวถึง และเพิ่มตัวเลือกในการรับบริการสุขภาพจิตที่เด็กและเยาวชนหลากหลายทางเพศเข้าถึงได้จริงและสะดวกใจในการใช้บริการ 

ทิพย์ - พรทิพย์รุ่งเรืองรองประธานเครือข่ายเยาวชนชาติพันธุ์เพื่อการพัฒนาได้ส่งเสียงสะท้อนแทนเยาวชนกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศว่า การที่เราไม่ใช่หญิงหรือชายไม่ใช่โรคแต่เป็นความหลากหลายที่สมบูรณ์ปัญหาสุขภาพจิตของพวกเราไม่ได้เกิดจากการมีความหลากหลายทางเพศแต่เกิดจากแรงกดดันภายนอกและการไม่ได้รับการโอบกอดจากสังคมอย่างแท้จริงทิพย์ยังได้เน้นย้ำแนวทางการแก้ปัญหาสุขภาพจิตว่าความรักความอบอุ่นและการสนับสนุนที่เป็นมิตรสถาบันครอบครัวและสถานศึกษาควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับพวกเราอยากให้บรรจุความหลากหลายทางเพศเข้าไปอยู่ในหลักสูตรการเรียนวิชสุขศึกษา 

พญ.อัมพรได้กล่าวทิ้งท้ายว่าการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตยังคงประเด็นสำคัญที่สุด ซึ่งหมายถึงการสร้างการยอมรับและการเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนได้แสดงออกถึงตัวตนของตัวเองอย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านโรงเรียนชุมชนหรือทุกที่ในสังคมรวมถึงการได้รับบริการทางสุขภาพจิตที่เป็นมิตรและเข้าถึงได้